ตั้งแต่ต้นปี 2020 ที่ผ่านมา โลกของเราก็ประสบกับเหตุการณ์ความวุ่นวายต่าง ๆ มากมาย ทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศและของโลกมีความย่ำแย่ ผลพวงมาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของผู้คนทั่วโลก ก็ยังกระทบไปถึงเงินในกระเป๋าของทุกคนด้วยเช่นกัน การกลับมาของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้เราทุกคนต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วในหลายเรื่อง แน่นอนว่าเรื่องแรก ๆ ที่ทุกคนต้องปรับเปลี่ยนก็คือเรื่องของการเงิน ด้วยผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตในครั้งนี้ จึงอยากชวนให้ทุกคนลองกลับมาคิดทบทวนตัวเองไปพร้อม ๆ กันว่า เราต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมการใช้จ่ายเงินของเราอย่างไรกันบ้าง
เริ่มต้นเก็บออมเพราะเงินออมคือภูมิคุ้มกันชั้นดี
ยามวิกฤตเช่นนี้ การมีเงินสดอยู่กับตัวนั้นเป็นเรื่องอุ่นใจ เพราะหากมีเหตุจำเป็นที่ต้องใช้เงินเราสามารถจะเอาเงินส่วนนี้ออกมาใช้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปแตะเงินในส่วนอื่น ๆ เลย ไม่ว่าจะเป็นเงินที่เราเก็บไว้เพื่อยามเกษียณ หรือแม้แต่เงินลงทุนต่าง ๆ ที่เก็บไว้เพื่อเป้าหมายในอนาคต ดังนั้นลักษณะของเงินก้อนนี้จึงต้องมีสภาพคล่องที่สูง และสามารถเอาออกมาใช้ได้ในทันที การออมเงินเป็นพื้นฐานสำคัญในการต่อยอดไปสู่เป้าหมายต่าง ๆ ของเรา ยิ่งเราเริ่มออมไว ก็ยิ่งช่วยให้ฝันของเราเป็นจริงได้เร็วขึ้น และหัวใจของการออม ไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินเท่านั้น แต่เป็นการทำอย่างสม่ำเสมอ ต้องอาศัย เงินออม ระยะเวลา และผลตอบแทนที่เหมาะสม เพื่อให้ตังค์ก้อนเล็กในวันนี้ สะสมเป็นตังค์ก้อนโตในวันข้างหน้า
บริหารความเสี่ยงสร้างความพร้อม
แต่ก่อนหลาย ๆ คนอาจมองว่าการทำประกันนั้นยังไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่หลังจากการระบาดของ COVID-19 ทุกคนต่างเกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าตัวเองเกิดโชคร้ายติดเชื้อ COVID-19 ขึ้นมา และต้องเข้ารับการรักษาตัวในยามวิกฤติเช่นนี้ จะทำอย่างไร เมื่อเราออมเงินได้อย่างสม่ำเสมอ และมีทัศนคติทางการเงินที่ดีแล้ว ลำดับถัดมาคือการบริหารความเสี่ยง เพื่อไม่ให้เงินที่เราทยอยเก็บหอมรอมริบไม่หายไปแบบง่าย ๆ จากเหตุการณ์ไม่คาดฝันและความไม่แน่นอน ที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เราสามารถป้องกันได้ ด้วยการใช้เครื่องมือบริหารความเสี่ยง เช่น การทำประกันในรูปแบบ ต่างๆ ก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน
ประหยัดอดออมหลีกเลี่ยงใช้จ่ายฟุ่มเฟือย
ในช่วงที่สถานการณ์ปกติดีมีรายได้มั่นคง บางครั้งเราก็เผลอคิดไปว่ารายได้ประจำที่เราได้รับในแต่ละเดือนนั้น เป็นสิ่งที่แน่นอน หลาย ๆ คนจึงมักจะใช้จ่ายจนเกินตัว ดึงเงินในอนาคตมาใช้ก่อน การจะใช้จ่ายเงินที่เราหามาได้นั้น ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากเราใช้จ่ายมากเกินกว่าที่หามาได้นั้น เป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะหากรายจ่ายเกินกว่ารายได้ เท่ากับว่าเราติดลบในทุกเดือน ยิ่งการใช้จ่ายที่เกิดจากความอยากได้ อยากมีเหมือนคนอื่น ทั้งที่ของนั้นมีราคาแพงและอาจยังไม่จำเป็น เราควรใช้จ่ายตามศักยภาพทางการเงินที่ตนเองมี ไม่ควรใช้จ่ายเกินกำลังที่ตนเองจะหาได้
เริ่มลงทุนสร้างเงินให้งอกเงย
ภาวะวิกฤตนั้นเป็นบททดสอบสำคัญสำหรับนักลงทุนทุกคนเลยก็ว่าได้ เพราะทำให้นักลงทุนแทบทุกคนที่กำลังเผชิญกับภาวะขาดทุนต้องกลับมาทบทวนตัวเองในรูปแบบการลงทุน เรามีสินทรัพย์ที่สามารถสร้างผลตอบแทนสม่ำเสมอได้หรือไม่ ควรจะตัดสินใจได้แล้วว่าเราควรจะปรับตัวอย่างไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เชื่อว่าการสร้างรายได้ให้มีกระแสเงินสดเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ เป็นความฝันหนึ่งของทุกคน เราอยากมีรายได้หลายทาง เพื่อที่จะให้มี “Passive Income” เข้ามาในทุกเดือน หรือไม่ต้องไปลงแรงทุกวันเพื่อให้มีรายได้ แต่ใช้การลงทุนที่มีผลตอบแทน และมีระดับความเสี่ยงอยู่ในเกณฑ์ที่เรารับได้ ช่วยสร้างรายได้ให้กลับมาหาเราอีกทาง เปรียบเสมือนเรามีเครื่องจักรสร้างเงิน สร้างรายได้ให้เราในอนาคตระยะยาวได้
หมั่นเพิ่มพูนความรู้ด้านการเงิน
ในมหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่งที่บ้านของเราเอง มักจะมองข้ามการสอนให้เข้าใจถึงเรื่องการเงิน ซึ่งแท้จริงแล้ว ทุกคนควรจะมีความรู้เรื่องการเงินเป็นความรู้พื้นฐาน เพราะการใช้ชีวิตของเราส่วนใหญ่ 90 % จะต้องมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง ด้วยยุคสมัยและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ทำให้วิวัฒนาการทางการเงินและรูปแบบของการลงทุนเปลี่ยนไปมากเช่นกัน หากเราเป็นคนที่หมั่นหาความรู้เรื่องการเงินและการลงทุนอยู่เสมอ จะช่วยให้เราเห็นโอกาสมากกว่าคนอื่น
สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นตัวช่วยให้ทุกคนหันกลับมาทบทวนตัวเองมากขึ้น ว่าตัวเราเองมีความพร้อมกับการรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้ดีหรือไม่ ในหลายสิ่งหลายอย่างที่เคยมองข้ามไปในอดีต กลับมาใส่ใจเรื่องการเงินให้มากขึ้น ใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท มีการวางแผนป้องกันในหลาย ๆ ด้านในเรื่องของการเงิน และหวังว่าเราทุกคนจะผ่านพ้นทุกวิกฤตไปได้แบบไม่ยากจนเกินไป