หากคุณสนใจที่จะเริ่มลงทุนในหุ้น คุ้นเคยกับการลงทุนในกองทุนรวม และต้องการซื้อขายแบบ Real time ลงทุนในหุ้น และต้องการเครื่องมือในการกระจายความเสี่ยงที่มีต้นทุนน้อย กําลังสร้างพอร์ตการลงทุนที่อ้างอิงผลตอบแทนตามดัชนีทั้งในและต่างประเทศหากคุณอยากลงทุนในทองคําที่อ้างอิงราคาได้ทันที และใช้พอร์ตเดียวกับการลงทุนในหุ้น Za.in.th ขอแนะนำ ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนรวมดัชนี (Index Fund) ที่มีนโยบายการลงทุนตามดัชนีต่างๆ เช่น ตลาดหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ตราสารหนี้ เป็นต้น โดยต้องการสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับการเคลื่อนไหวของดัชนีมากที่สุด ความพิเศษของ ETF คือ เป็นกองทุนรวมดัชนีที่สามารถซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้เหมือนหุ้น โดยได้ราคาซื้อขายแบบ Real time อีกด้วย
E = Exchange หมายถึง ETF มีการซื้อขายหน่วยลงทุนเปลี่ยนมือกันในตลาดหลักทรัพย์ (The Stock Exchange)
T = Traded หมายถึง ETF สามารถทำการซื้อขายหน่วยลงทุนผ่านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) หรือ โบรกเกอร์ได้เหมือนหุ้น
F = Fund หมายถึง ETF เป็นจัดเป็นกองทุนรวม (Mutual Fund) ประเภทหนึ่ง
จุดเด่นของกองทุนรวมดัชนี ETF : Exchange Traded Fund
– สามารถซื้อ ขายได้ Real Time เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง
– ช่วยในเรื่องการกระจายความเสี่ยง เช่น ลงทุนในกองทุนรวมที่อ้างอิงตามดัชนี SET50 ก็เปรียบเหมือนว่าเราได้ซื้อหุ้น 50 ตัว
– ค่าธรรมเนียมถูก (เท่ากับค่าธรรมเนียมซื้อขายหุ้น)
– เงินน้อยก็ลงทุนได้ (ลงทุนเป็น Board lot 100 หน่วย)
– กำไรที่ได้จากการซื้อขาย ไม่ต้องเสียภาษี
ETFs มีนโยบายการลงทุนเลียนแบบหรือล้อกับดัชนีที่ถูกนำมาใช้อ้างอิง (Underlying Index) โดยดัชนีอ้างอิงนั้นมีหลากหลายประเภท ยกตัวอย่างดัชนีราคาตราสารทุน เช่น SET50 SET100 SETHD เป็นต้น นอกจากนี้ยังอาจอ้างอิงกับดัชนีอื่นๆได้ เช่น ดัชนีราคาทองคำ ดัชนีราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งแตกต่างจากการลงทุนของกองทุนรวมโดยส่วนใหญ่ที่เลือกลงทุนในหลักทรัพย์ หรือสินทรัพย์รายตัวตามนโยบายการลงทุนที่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้า ดังนั้นการลงทุนของ ETF จึงสามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีการกระจายการลงทุนตามแบบดัชนีนั่นเอง ETFs มุ่งเน้นให้ได้ผลตอบแทนเท่ากับหรือใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงมากที่สุด โดยผู้จัดการกองทุนจะเลือกกระจายการลงทุนในลักษณะเดียวกันกับสัดส่วนหรือน้ำหนักของหลักทรัพย์รายตัวที่ใช้ในการคำนวณดัชนีอ้างอิงอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้อัตราผลตอบแทนที่เท่ากับหรือใกล้เคียงกับดัชนีอ้างอิงให้มากที่สุด หรือที่เรียกกันว่า ทำให้เกิด Tracking Error* น้อยที่สุดนั่นเอง
*Tracking Error หมายถึงการที่ผลการดำเนินงานของกองทุน แตกต่างหรือเบี่ยงเบนไปจากผลตอบแทนของดัชนีที่ใช้อ้างอิง ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จาก
– ค่าบริหารจัดการ และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องหักออกจากผลตอบแทนของกองทุน
– การนำผลตอบแทนของกองทุนไปลงทุนต่อ (Reinvestment Policy) ในช่วงเวลาที่ยังไม่ได้มีการจ่ายเป็นเงินปันผลคืนให้แก่นักลงทุน
– การที่กองทุนไม่ได้ลงทุนเลียนแบบ หรือตามดัชนีอ้างอิงแบบเต็มที่ 100%
– การปรับเปลี่ยนสัดส่วน หรือการเปลี่ยนแปลงหลักทรัพย์ที่นำมาใช้ในการคำนวณดัชนีอ้างอิง
ราคาซื้อขายของ ETF
หุ้น และ ETF สามารถซื้อขายได้แบบ Real time ล็อกราคาที่อยากซื้อและขายได้เลย ส่วนกองทุนรวม แม้จะซื้อขายช่วงเช้าของวัน แต่เราจะทราบราคาซื้อขายช่วงสิ้นวันทำการ ซึ่งเป็นจุดที่ ETF ได้เปรียบกว่ากองทุนรวมในกรณี เช่น หากเลือกลงทุนในดัชนี SET50 ระหว่างวันดัชนีวิ่งลงมาถึงจุดที่เราต้องการ สามารถซื้อ ETF ในราคานั้นได้เลย และหากสิ้นวันนั้นดัชนีวิ่งกลับขึ้นไปสู่จุดเดิม กองทุนรวมที่จะได้ราคาซื้อขาย ณ สิ้นวันทำการ จะมีต้นทุนที่สูงกว่า
ผลตอบแทนและความเสี่ยง ETF
หุ้น จัดว่าเป็นตราสารทุน เป็นตราสารที่มีความเสี่ยงสูง อาจแลกมากับผลตอบแทนที่สูงได้ ETF และกองทุนรวม มีสินทรัพย์ให้เลือกลงทุนตั้งแต่สินทรัพย์เสี่ยงต่ำ อย่างตราสารหนี้ ไปจนถึงสินทรัพย์เสี่ยงสูงอย่างหุ้นและสินทรัพย์โภคภัณฑ์ ดังนั้นผลตอบแทนและความเสี่ยงมีตั้งแต่ระดับต่ำไปจนถึงสูง ขึ้นอยู่กับประเภทสินทรัพย์ที่เลือกลงทุน
การกระจายการลงทุน ETF
หุ้น เมื่อลงทุนในหุ้น 1 ตัว เท่ากับการลงทุนใน 1 ธุรกิจ จึงไม่มีการกระจายการลงทุนในการลงทุน 1 สินทรัพย์ ETF และกองทุนรวม เมื่อเลือกประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน 1 ประเภท เท่ากับมีการกระจายการลงทุนอยู่ภายใน เช่น ลงทุนในดัชนี SET50 เท่ากับการลงทุนในหุ้น 50 ตัว ในการลงทุน 1 ประเภทสินทรัพย์
ผู้ดูแลสภาพคล่อง ETF
ETF มีผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) คำถามคือมีแล้วมีข้อดีอย่างไร? จุดประสงค์ของ ETF มีขึ้นมาเพื่อเป็นกองทุนรวม ที่สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือกัน ได้อย่างสะดวก และ ETF เป็นการลงทุนที่อิงกับดัชนี ดังนั้นการที่มีผู้ดูแลสภาพคล่อง จะช่วยให้ราคาซื้อขายสอดคล้องกับการขึ้นลงของดัชนีอ้างอิงอยู่เสมอนั่นเอง หุ้น และกองทุนรวม ไม่มีผู้ดูแลสภาพคล่อง