ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ “ช้อปดีมีคืน” ภายใต้มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษี ส่งเสริมการผลิตสินค้าท้องถิ่น และส่งเสริมการอ่าน
มาตรการดังกล่าวจะเป็นการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในปีภาษี 2563 สำหรับค่าซื้อสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 30,000 บาท กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา กลุ่มผู้ประกอบการประเภทผู้ค้าสินค้าและบริการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และผู้ประกอบการขายหนังสือและสินค้า OTOP โดยไม่รวมสินค้าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ยาสูบ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ค่าที่พัก และค่าตั๋วเครื่องบิน
สำหรับมาตรการดังกล่าวจะมีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 23 ต.ค.-31 ธ.ค.63 เพื่อใช้ลดหย่อนภาษีในปีภาษี 2563 ณ เดือน มี.ค.64 คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเนื่องจากการดำเนินมาตรการทั้งหมด 55,500 ล้านบาท ทั้งนี้ หากประชาชนได้ใช้สิทธิโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือโครงการคนละครึ่งแล้วจะไม่สามารถใช้สิทธินี้ได้
มีการขยายโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ออกไปจนถึงวันที่ 31 ม.ค. 2564 โดยมีการตัดเงื่อนไขบางประการ เพื่อกระตุ้นการเดินทางและใช้สิทธิ์มากขึ้น โดยปลดล็อกสามารถเที่ยวภายในจังหวัดได้แล้วขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการบริโภค แบ่ง 3 กลุ่มหลัก ดังนี้
1. เพิ่มเงินให้กับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) 14 ล้านคน ระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ ต.ค. – ธ.ค. 2563 วงเงิน 21,000 ล้านบาท
2. คนละครึ่ง ให้สิทธิ์จำนวน 10 ล้านคน ปัจจุบันมีผู้ประกอบการเข้าร่วมแล้ว 200,000 ราย เป็นการใช้จ่ายจากเงินประชาชน 30,000 ล้านบาท และรัฐออกให้ 30,000 ล้านบาท จะมีเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ 60,000 ล้านบาท
3. ช้อปดีมีคืน กระตุ้นการบริโภคในประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการในระบบภาษี ให้ประชาชนที่ซื้อสินค้าและบริการรวมกันไม่เกิน 30,000 ลดหย่อนภาษีได้ แต่ไม่รวมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สุรา บุหรี่ สลากกินแบ่งรัฐบาล น้ำมัน ที่พัก ตั๋วเครื่องบิน มีระยะเวลาตั้งแต่ 23 ต.ค. – 31 ธ.ค. 2563 โดยสามารถนำไปยื่นภาษีได้ในช่วง มี.ค. 2564 มีตัวเลขกลมๆ ราว 4 ล้านคน วงเงิน 120,000 ล้านบาท โดยจะต้องเข้า ครม. อีกครั้งวันที่ 12 ต.ค.นี้