SELIC : บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุตสาหกรรม เริ่มต้นซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ 18 ต.ค. 2559 ราคาพาร์ 0.50 บาท ทุนจดทะเบียน 59,000,000 บาท จำนวนหุ้นจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย 289,999,455 หุ้น ลักษณะธุรกิจ SELIC และบริษัทย่อย ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่าย รวมทั้งวิจัยและพัฒนากาวอุตสาหกรรมที่ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม (Specialty and High Performance Adhesive) เพื่อจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ
ผลิตภัณฑ์ของซีลิค คอร์พ ประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์กาวหลอมร้อนหรือ “กาวร้อน”, ผลิตภัณฑ์กาวน้ำ, ผลิตภัณฑ์กาวซอลเวนท์และการบริการโดยทีมงานประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคนิค และผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม
ด้านผลประกอบการรายงานกำไรสุทธิปี 2019 ที่ 86 ล้านบาท ดีขึ้นจากขาดทุน 11 ล้านบาทในปี 2018 ผลจากรายได้รวมเพิ่มขึ้น 133%YoY ที่ 1.4 พันล้านบาท หลังการควบรวม บจ.พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรียลส์ (PMC) ในไทยและสิงคโปร์ เข้ามาอีกทั้งอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นที่ 24.5% จาก 23.1% ในปี 18 ผลการส่วนผสมผลิตภัณฑ์
และการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้น
ตั้งเป้าหมายยอดขายปี 20 เติบโต 10%YoY ด้วยปัจจัยหนุนจาก (1) ธุรกิจกาว (Adhesive) ที่ยอดขายเติบโต 15% ในปีก่อน และคาดจะเติบโตต่อเนื่องปีนี้ตามฐานลูกค้าในประเทศ (2/3 ของยอดขายกาว) ที่มีอยู่เดิมและลูกค้าใหม่ที่จะเข้ามาเพิ่ม ประกอบกับมีการใช้กำลังการผลิตเพียง 80% เพียงพอรองรับการเติบโตใน 2-3 ปีข้างหน้า (2) ธุรกิสติ๊กเกอร์ผ่านทาง PMC แม้จะเติบโตเพียง 2% ในปีก่อน เนื่องจากอยู่ระหว่างปรับกระบวนการทำงานร่วมกันหลังการซื้อกิจการเข้ามา เชื่อว่าปีนี้มีความพร้อมดำเนินการผลิตและขยายตลาดอย่างเต็มที่ 2. ยังไม่เห็นผลกระทบจากโคโรน่าไวรัส โดยยอดขายเดือนม.ค.ยังอยู่ระดับปกติคาดว่าต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ในการประเมินผลกระทบ อย่างไรก็ตามบริษัทได้มีมาตรการรองรับไว้แล้ว โดยด้านการจัดซื้อวัตถุดิบมีการจัดหา Suppliers ใหม่สำรองไว้ 2-3 รายเป็นอย่างน้อย เผื่อกรณีฉุกเฉินที่คู่ค้าจีนไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบให้ได้ส่วนทางด้านลูกค้ามีผลกระทบไม่มากเนื่องจากส่วนมากเป็นลูกค้าอุตสาหกรรม ที่มีคำสั่งซื้อต่อเนื่อง มีฐานลูกค้ามากกว่า 2 พันราย หลากหลายในอุตสาหกรรมต่างๆทั้งเครื่องดื่ม อาหารและรองเท้าเป็นต้น จะช่วยในการกระจายความเสี่ยง 3. ต้นทุนวัตถุดิบสัดส่วนราว 70-80% ของต้นทุนขาย ส่วนมากเป็นกระดาษและเคมีภัณฑ์มีแนวโน้มปรับตัวลงในปีนี้ตามทิศทางราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่น มีแนวโน้มปรับตัวลงเร็วว่าราคาขาย เชื่อว่าทำให้อัตรา
กำไรขั้นต้นดีขึ้น
ความเห็นนักวิเคราะห์ ราคาหุ้นที่ปรับลง 18% จากกลางเดือนก.พ.มองว่าเป็นผลจากความวิตกของนักลงทุนต่อการแพร่ระบาดของ Covit-19 ปัจจุบันซื้อขายเพียง 7x Trailing PE ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่เข้ามาซื้อขายเมื่อเดือน ต.ค.ปี 16 เทียบกับแนวโน้มเติบของยอดขายตามเป้าหมายที่ 10% (หากทำได้) ถือว่าราคาไม่แพง นอกจากนี้ การประกาศจ่ายหุ้นปันผลในสัดส่วน 7.249986 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นปันผลบวกกับ เงินสดบางส่วน คิดเป็นเงินปันผลจ่ายรวม 0.08 บาทต่อหุ้น หรือให้อัตรา ผลตอบแทนปันผลเกือบ 4% (XD 10 เม.ย.) จะเป็นปัจจัยหนุนจิตวิยาการลงทุนในระยะสั้น ส่วนระยะไตรมาสขึ้นไป นักลงทุนจึงควรติดตามผลกระทบจากการระบาดของไวรัสที่อาจมียอดขายรายไตรมาส และผลประกอบการในระยะต่อไปนอกจากนี้การประกาศเพิ่มทุนแบบมอบอ านาจทั่วไป (General Mandate) จำนวน 28 ล้านหุ้น (8.81%1 ของทุนเรียกชำระ) หรือคิดเป็นเม็ดเงินราว 58 ล้านบาทเทียบราคาหุ้นปัจจุบัน (เป็นการขอมติเพิ่มทุนล่วงหน้า เผื่อจำเป็นต้องใช้จะไม่ต้องมาขออนุมัติในที่ประชุมผู้ถือหุ้นอีก) เรามองว่าเป็นการรองรับการซื้อกิจการในอนาคต แม้เป็นเม็ดเงินไม่มาก แต่การประกาศจ่ายปันผลเป็นหุ้นบ่งบอกว่าบริษัทต้องการเพิ่มฐานทุนเพื่อรองรับการสร้างหนี้ในอนาคตเพิ่มเติม นักลงทุนจึงควรติดตามแผนการขยายงานในอนาคต (Inorganic Growth) ที่อาจมีผลต่อการเติบโตของผลประกอบการ ในลักษณะเดียวกันกับปี 19