หุ้น ที่ดีและสามารถลดความเสี่ยงจากการลงทุนในระยะยาวได้ ในความคิดของหลายคนคิดว่า ต้องเป็นหุ้นผลตอบแทน (Capital Return) หมายความว่าบริษัทที่ดีต้องมีความจริงใจกับผู้ถือหุ้น เมื่อมีกำไรแล้วก็ต้องแบ่งปันให้ผู้ถือหุ้น หรือการจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ “ผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดี อย่างน้อยก็ทําให้คุณมีออร์เดิร์ฟ (เงินปันผล) ไว้รับประทานเล่นระหว่างรออาหารจานหลัก (กําไรจากการขาย)” จอห์น เนฟฟ์ (John Neff) ได้แนะนำนักลงทุนไว้ ที่นักลงทุนไทยหลายคนยกเป็นไอดอล และนำหลักการลงทุนของเขามาใช้ลงทุนในตลาดหุ้นไทย
หลักปรัชญาการลงทุน 7 ประการของ จอห์น เนฟฟ์ ที่สำคัญเลยก็คือ หุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) คงที่ ซึ่งการจ่ายเงินปันผลอยู่อย่างต่อเนื่องแสดงให้เห็นว่าธุรกิจเติบโตสม่ำเสมอ เงินสดไม่ขาดมือ มักจะอยู่ในธุรกิจที่ไม่ค่อยหวือหวา ถ้าไม่เป็นผู้นำในธุรกิจก็มีความสามารถทางการแข่งขันสูง อีกทั้ง เป็นธุรกิจที่ผลิตสินค้าเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน
แม้จะเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 วิกฤติซับไพร์ม (Subprime Crisis) วิกฤติหนี้เสียกลุ่มประเทศยูโรหรือปัญหาทางการเมือง ธุรกิจเหล่านี้ก็ยังเติบโตแข็งแกร่ง สะท้อนถึงการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ทีมงานผู้บริหารมีฝีมือ รวมถึงให้ความสำคัญกับผู้ถือหุ้นและนักลงทุน
การมีหุ้นปันผลที่จ่ายให้ทุกๆ ปีไม่ขาดตกบกพร่องอยู่ในพอร์ตลงทุน ทําให้อัตราผลตอบแทนของพอร์ตมีความสม่ำเสมอตามไปด้วย แม้ช่วงตลาดหุ้นเป็นขาลงก็ไม่กังวลกับราคาหุ้นปันผลตัวนั้นที่เกิดความผันผวน เพราะถ้ายังไม่ขายออกไปก็จะได้รับเงินปันผล ดังนั้น การซื้อและถือหุ้นปันผลไว้เป็นระยะเวลานานๆ อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะมีความสําคัญมาก เพราะทําให้นักลงทุนได้รับกระแสเงินสดจากการถือหุ้น นั่นก็คือ เงินปันผล
ซึ่งถ้าต้องการได้หุ้นปันผลเก็บไว้ในพอร์ต สิ่งสำคัญที่จะเป็นปัญหาตามมาก็คือว่า จะซื้อตอนไหนดี เอาให้เข้าใจง่ายๆคือ ต้องซื้อก่อนวันที่บริษัทจดทะเบียนประกาศจ่ายเงินปันผลและขึ้นเครื่องหมาย XD (XD : Excluding Dividend คือ วันที่นักลงทุนที่ซื้อหุ้นของบริษัทดังกล่าวจะไม่มีสิทธิได้รับเงินปันผล) ช่วงที่เหมาะสมในการซื้อหุ้นนั้นคือ 1 – 2 เดือนก่อนบริษัทจะประกาศขึ้นเครื่องหมาย XD ในทางกลับกันเวลาที่ไม่เหมาะสมในการซื้อหุ้นปันผลคือช่วงใกล้ๆ ประกาศเครื่องหมาย XD เช่น 1 สัปดาห์ หรือ 1 – 2 วัน สังเกตได้ว่าช่วงนั้นนักลงทุนส่วนใหญ่จะเข้ามาซื้อปันผลกันอย่างหนาแน่น ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว
อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล = (เงินปันผลต่อหุ้นต่อปี/ราคาหุ้นปัจจุบัน) x 100
ยกตัวอย่าง
- หุ้น AAA วันที่ 1 มกราคม 2562 ราคาหุ้นอยู่ที่ 250 บาท บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 20 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 8%
- หุ้น BBB วันที่ 1 มกราคม 2562 ราคาหุ้นอยู่ที่ 36 บาท บริษัทประกาศจ่ายเงินปันผล 4 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 11.11%
จากตัวอย่าง ถึงแม้หุ้น AAA จะจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นสูงกว่า BBB แต่ BBB มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า เพราะมีราคาหุ้นต่ำกว่า
ซึ่งหากนักลงทุนสนใจต้องหาจังหวะราคาหุ้นปันผลยังไม่ขยับขึ้น หรือถ้าเป็นไปได้ควรซื้อในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวนหรือเป็นขาลง าถึงจุดสำคัญประการหนึ่งคือ ควรซื้อหุ้นปันผลที่มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเท่าไหร่ นั่นก็ขึ้นอยู่กับระดับความพึงพอใจของคุณเอง เช่น ใช้อัตราเฉลี่ยนับตั้งแต่ปีแรกที่ตลาดหุ้นไทยเปิดซื้อขายเป็นมาตรฐาน ตามถิติ ตลาดหุ้นไทยให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ระดับประมาณ 4% หมายความว่า หุ้นปันผลที่ควรจะได้รับในแต่ละปีต้องไม่ต่ำกว่า 4%
มีการรวบรวมหุ้นปันผลสูงแนะนำจากนักวิเคราะห์ โดยคัดเลือกบริษัทที่มีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) มากกว่า 4% ขึ้นไป พบว่ามี 18 บริษัท คือ ORI 6.2-9.5%, SC 6-9.5%, KKP 6.3-8.2%, LH 6.3-7.8%, QH 5.7-7.6%, ASK 7.1-7.2%, TISCO 6.1-7.2%, MCS 6.4-7.1%, SUSCO 6.9%, AP 4.6-6.4%, INTUCH 4.7-6.3%, TVO 5.4-5.9%, SPALI 4.8-5.8%, PTTEP 4-5.5%, KTB 4.2-5.4%, MAJOR 4.5-5.2%, ADVANC 4-4.6%, BBL 4-4.4%