ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product : GDP) หมายถึง มูลค่าที่เป็นตัวเงินของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นในระบบเศรษฐกิจใดระบบเศรษฐกิจหนึ่ง ภายในระยะเวลาหนึ่งปกติใช้ระยะเวลา 1 ปี
การวัดผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ สามารถวัดได้ 2 วิธี ได้แก่
1. การวัดรายจ่าย (Expenditure Approach) ที่จ่ายให้สินค้าและบริการขั้นสุดท้าย
GDP = รายจ่ายเพื่อบริโภค + รายจ่ายเพื่อการลงทุน + รายจ่ายของรัฐบาล + รายจ่ายสุทธิของต่างประเทศที่ซื้อสินค้าผลิตในประเทศ
2. การวัดรายได้ (Resource Cost – Income Approach) ที่ได้จากการขายสินค้าและบริการขั้นสุดท้าย
GDP = ค่าจ้างและเงินเดือนลูกจ้าง + รายได้เจ้าของธุรกิจส่วนตัว + กำไรของบริษัท (รายได้ผู้ถือหุ้น) + ดอกเบี้ย (รายได้เจ้าหนี้) + ค่าเช่า (รายได้เจ้าของสินทรัพย์) + ภาษีธุรกิจทางอ้อม + ค่าเสื่อมราคา + รายได้สุทธิของคนต่างชาติในประเทศ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว GDP ที่เราเห็น อาจไม่ใช่ตัวเลขที่สะท้อนภาพรวมเศรษฐกิจที่แท้จริงสำหรับทุกประเทศ เพราะมีเศรษฐกิจนอกระบบ ที่เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการ ไม่สามารถวัดมูลค่าที่ชัดเจน จึงไม่ถูกเรียกเก็บภาษีจากรัฐ และไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ประกอบด้วย
1.ที่ไม่อยู่ภายใต้บัญชีประชาชาติ (GDP) เช่น มอเตอร์ไซค์รับจ้าง, หาบเร่แผงลอย, การรับงานมาทำที่บ้าน, สินเชื่อนอกระบบ
2.ที่ไม่อยู่ภายใต้ระบบความคุ้มครองแรงงาน เช่น แรงงานส่วนใหญ่ในภาคเกษตรกรรม และการบริการ
3.ที่ไม่อยู่ภายใต้ระบบกฎหมาย เช่น การพนัน, การค้าประเวณี, อาวุธเถื่อน และยาเสพติด
กิจกรรมนอกระบบเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง วิถีชีวิต, วัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของครัวเรือน ซึ่งช่วยสร้างอาชีพ รวมถึงกระจายสินค้าและรายได้ไปยังกลุ่มคนยากจน ธนาคารโลกได้หันมาใช้วิธีแบบใหม่ในการประมาณค่า GDP ที่แท้จริงของแต่ละประเทศ จากความสว่างของแสงไฟยามค่ำคืน (Night Lights Approach) เมื่อนำแสงไฟมาประยุกต์ใช้กับดัชนีอื่นๆ ยังสามารถบ่งบอกคุณภาพชีวิตของผู้คนในด้านต่างๆ ได้อีกด้วย เช่น ความยากจน, ความเหลื่อมล้ำ, ความสมดุลของระบบนิเวศ, การเข้าถึงแหล่งพลังงานไฟฟ้า, เทคโนโลยี และข้อมูลรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างสังคมเมือง ซึ่งถ้าวัดเป็นมูลค่า ประเทศไทยจะมีเศรษฐกิจนอกระบบ 6 ล้านล้านบาท ซึ่งมากถึง 40% ของ GDP ประเทศไทยเลยทีเดียว