บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บล.บัวหลวง ได้ออกบทความนำเสนอ สินทรัพย์ดาวเด่น ปี 2563 ยังคงยกให้ “ตลาดหุ้น” เป็นอันดับหนึ่ง จากปี 2562 ตลาดหุ้นโลกให้ผลตอบแทนการลงทุนเฉลี่ยราวๆ 20% และในปี 2563 น่าจะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากที่สุด และแนะนำให้นักลงทุนเริ่มกระจายความเสี่ยงการลงทุนออกไปในหุ้นต่างประเทศ อย่ากระจุกการลงทุนอยู่เพียงแต่หุ้นไทย เพราะอัตราการขยายตัวของกำไรบริษัทจดทะเบียนของไทยนั้นมีจำกัด โดยมองว่าช่วง 3 ปีที่ผ่านมา “ตลาดหุ้นสหรัฐฯ” ถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมากที่สุดให้ผลตอบแทนรวมจากการลงทุนแล้วเฉลี่ย 14.90% ต่อปี เทียบกับตลาดหุ้นไทยที่มีผลตอบแทน 4.70% (ตัวเลข ณ วันที่ 19 ธ.ค. 2562) ที่น่าจับตามองคือหุ้นค้าปลีกที่มีการปรับตัวไปกับกระแส e-commerce ได้ดี เช่น หุ้น Target (TGT) และหุ้น Walmart (WMT)
รองลงมาด้วย ตลาดหุ้นฮ่องกง หุ้นจีนที่เติบโตไปกับกระแสเทคโนโลยีโลก เช่น หุ้น Alibaba และตลาดหุ้นเวียดนาม เน้นหุ้นอสังหาขนาดใหญ่ เกาะกระแสการขยายตัวของเมือง เช่น หุ้น VHM
ส่วนสินทรัพย์อื่นๆ ที่เด่นรองลงมา คือ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ (REIT) กองทุนทองคำ ตราสารหนี้ภาคเอกชน และกองทุนน้ำมัน ตามลำดับ
Morgan Stanley มอร์แกน สแตนลีย์ ธนาคารเพื่อการลงทุนข้ามชาติและบริษัทที่ให้บริการทางการเงินของอเมริกา คาดการณ์ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปี 2563 มีโอกาสขยายตัวต่อเนื่อง แต่จะเป็นการเติบโตแบบชะลอตัว เพราะอัตราเงินเฟ้ออาจอยู่ในระดับต่ำ และราคาน้ำมันดิบทรงตัว โดยมองว่าราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ อาจอยู่ในกรอบ 55-60 เหรียญต่อบาร์เรล และ 60-65 เหรียญต่อบาร์เรล ตามลำดับ ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงมีท่าทีคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป ส่วนเศรษฐกิจในเอเซียคงจะฟื้นตัวได้อ่อนๆ เพราะประเทศจีนยังมีปัญหาเรื่องหนี้ ทำให้ไม่สามารถกระตุ้นภาคก่อสร้างอสังหาฯได้เต็มที่
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)โนมูระ พัฒนสิน คาดว่าปี 2563 ภาพเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวแบบตัวยู ( U-Shape) โดยประเมินว่าผลิตมวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสแรกของปี 2563 จะเติบโตเพียง 2.3% และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)จะลดดอกเบี้ยอีก 0.25 %สู่ 1 % ในไตรมาสแรกปีหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นไทยปี 2563 บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะนำ” Overweight”หรือให้น้ำหนักลงทุน”มากกว่าตลาด” ในกลุ่มอิงวงจร เศรษฐกิจ(Cyclical) เนื่องจากได้ประโยชน์สัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว ได้แก่ กลุ่มพลังงาน ปิโตรเคมี ส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (วงจรเทคโนโลยีพ้นจุดต่ำสุด +5G) ขณะที่กลุ่มส่งออกอาหารและเกษตร จะได้รับประโยชน์จากแรงหนุนของความต้องการโลกที่ฟื้นตัวตามประชากรของประเทศตลาดเกิดใหม่เพิ่ม และสภาพอากาศผันผวน/ภาวะโรคระบาดกดดันกำลังการผลิต ส่วนกลุ่มสื่อสาร จะได้ประโยชน์จาก 5G กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มโรงพยาบาลฟื้นตัวรับ Global Wealth Effect และฐานต่ำกลุ่มธนาคาร Value Play และเศรษฐกิจไทยพ้นจุดต่ำสุด