TISCO : บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ตลาดSET กลุ่มอุตสาหกรรมธุรกิจการเงิน หมวดธุรกิจธนาคาร ราคาพาร์10.00 บาท ทุนจดทะเบียน8,006,934,360.00 บาท ลักษณะธุรกิจ บริษัทประกอบธุรกิจการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ของกลุ่มธุรกิจทางการเงินทิสโก้ โดยมีธนาคารทิสโก้เป็นหลัก ซึ่งได้รับอนุมัติให้เป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ ปัจจุบันให้บริการทางด้านการเงินอันประกอบด้วย บริการสินเชื่อลูกค้ารายย่อยและสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม บริการสินเชื่อพาณิชย์ธนกิจ บริการเงินฝากรายย่อย บริการลูกค้าธนบดีธนกิจ บริการตัวแทนขายประกันผ่านธนาคาร บริการจัดการการเงิน และบริการคัสโตเดียน
โรคระบาด COVID – 19 ส่งผลให้คำสั่งซื้อทั้งในและนอกประเทศชะลอออกไป ทำให้ราคาขายยางมะตอยใน 1Q63 ลดลง แต่ราคาขายยางมะตอยยังลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรง ทำให้ Spread มีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรงจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตยางมะตอยลดลงในระยะยาวอีกด้วย นอกจากนี้ COVID – 19 ยังกระทบด้าน Demand ในต่างประเทศ แต่กระทบเพียงในตลาดจีนและมาเลเซียเท่านั้น ซึ่งยอดขายในตลาดจีนซึ่งเป็นตลาดหลักลดลงในเดือน ก.พ. – มี.ค. 63 หรือคิดเป็นราว 2 – 3 หมื่นตันใน 1Q63 ขณะที่ยอดขายในตลาดมาเลเซียจะหายไปจากการปิดประเทศ (Lockdown) อย่างไรก็ตาม ตลาดจีนใน 1Q63 ไม่ใช่ช่วง Working Season ทำให้ยอดสั่งซื้อในไตรมาส 1 ไม่มากเท่าไตรมาสอื่นอยู่แล้ว รวมทั้งตลาดมาเลเซียซึ่งปกติคำสั่งซื้อใน 7 เดือนแรกจะคิดเป็น 1/3 ของยอดขายตลาดมาเลเซียทั้งปี ทำให้ได้รับผลกระทบอย่างจำกัด ปัจจุบันสถานการณ์โรคระบาด COVID –19 ในประเทศจีนดีขึ้น ทำให้ยอดสั่งซื้อเริ่มทยอยกลับเข้ามา รวมทั้งยอดสั่งซื้อใหม่และยอดสั่งซื้อที่ถูกเลื่อนออกไปจากช่วง ก.พ. 63 – มี.ค 63 จะกลับมาและจะชัดเจนที่สุดใน 2Q63 เป็ นต้นไปอีกด้วย ส่วน Demand ในประเทศไทยใน 1Q63 การอนุมัติงบประมาณปี2563 เมื่อปลายเดือน ก.พ. 63 ซึ่งจะทำให้เห็นผลการเบิกจ่ายใช้งบประมาณอย่างชัดเจนใน 2Q63 – 3Q63 เนื่องจากเหลือเวลาใช้งบประมาณปี2563 เพียง 2 ไตรมาสเท่านั้น
แนวโน้มผลประกอบการปกติใน 1Q63 ขาดทุนที่ -522 ลบ. จากที่กำไร 524 ลบ. ใน 4Q62 และ 758 ลบ.ใน 1Q62 ซึ่งจะเป็ นจุดต่ำสุดของปีถูกกดดันจาก 1) งบประมาณรายจ่ายปี 2563 ยังไม่ผ่าน จึงยังไม่ถูกใช้ใน 1Q63 2) โรคระบาด COVID – 19 ส่งผลให้คำสั่งซื้อในจีนลดลงในเดือน ก.พ. 63 – มี.ค. 63 และการLockdown ประเทศมาเลเซียทำให้ยอดสั่งซื้อหายไป และ 3) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลง คาดว่ามีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมันราว 1,500 ลบ. แต่จะมีกำไรจากการทำ Hedging ราว 600 ลบ. ทำให้เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะลดลงเป็ น -7.9% จาก 10.6% ใน 4Q62 และ 16.5% ใน 1Q62
แนวโน้มกำไรปกติใน 2Q63 จะกลับมาอยู่ที่ระดับปกติราวๆ 400 – 500 ลบ. ขึ้นไป เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น ส่งผลให้อาจมีการบันทึก Stock gain และมีต้นทุนนน้ำมันดิบที่ต่ำงผลให้ GPM ปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการกำจัด Downside risk ของประมาณการ เราจึงปรับกำไรปกติปี 2563 ลง 12.3% เป็น 2,529 ลบ. (+3.1%YoY) คาด GPM ลดลงเป็ น 12.6% เพราะผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลงแรงทำให้ผลประกอบการ 1Q63 ต่ำกว่าที่เคยประเมินไว้และปรับราคาเหมาะสมปี 2563 ลงเป็น 23.60 บาทต่อหุ้น อิงที่ PER ที่ 14.7x (+1.0SD) พร้อมคาดเงินปันผลทั้งปี 2563 ที่ 1.50 บาทต่อหุ้น หรือให้ ผลตอบแทนสูงถึง 8.5% ปัจจุบัน ซื้อขายอยู่บน PER63 ต่ำเพียง 11.0x มี Upside gain 34.1% จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”