นักลงทุนคลายกังวลสถานการณ์สหรัฐ - อิหร่าน กูรูยังแนะถือสินทรัพย์ปลอดภัย

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นความเสี่ยงที่เหตุการณ์จะบานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 แม้สถานการณ์ยังไม่ได้ขยายวงกว้าง แต่ก็ส่งผลกระทบต่อภาวะการลงทุนทั่วโลก นักลงทุนต้องกลับมาพิจารณากลยุทธ์การลงทุน เพื่อรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น

บล.เอเชียพลัส มองว่า การจะเอาชนะตลาดได้ นักลงทุนต้องเลือกลงทุนโดยยึดมั่นเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีเท่านั้น เพราะนอกจากตลาดจะถูกกดดันจากความขัดแย้ง แนวโน้มเศรษฐกิจของไทยก็ไม่ดีนัก โดยคาดการณ์ว่า GDP ปีนี้จะเติบโตเพียง 2.8% ต่ำกว่าคาดการณ์ GDP โลกที่ 3.4% อีกแนวทาง คือ โยกเงินลงทุนออกจากสินทรัพย์เสี่ยง ไปสู่สินทรัพย์ปลอดภัย รวมทั้งการถือเงินสดเพิ่มขึ้น

บล.เคจีไอ แนะอาจจะพิจารณาถือเงินสด 50% ของพอร์ตลงทุน เพราะความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นในปัจจุบัน โดยเงินลงทุนส่วนที่เหลือ ควรลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นลงเหลือประมาณ 20% โดยเน้นหุ้นที่ได้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อย่างกลุ่มพลังงาน ส่วนอีก 30% อาจจะพิจารณาลงทุนในทองคำและตราสารหนี้ซึ่งมักจะให้ผลตอบแทนที่ดีในภาวะเช่นนี้

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า สหรัฐจะตอบโต้อิหร่านโดยใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ โดยไม่ได้ระบุถึงการใช้ปฏิบัติการทางทหาร หลังจากที่อิหร่านใช้ขีปนาวุธโจมตีฐานทัพสหรัฐในอิรักเมื่อวานนี้ ส่งผลให้ราคาทองปรับตัวร่วงลง นักลงทุนพากันเทขายทองในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และหันเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น แทน ด้วยนักลงทุนคลายกังวลสหรัฐ-อิหร่าน

ส่วนราคาน้ำมันจากที่นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับภาวะขาดแคลนน้ำมันในตลาด หลักจากที่อเมริกาแจงกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) พร้อมเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมัน เพื่อรองรับการขาดแคลนในตลาด หากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐและอิหร่านส่งผลกระทบต่อการขนส่งน้ำมันในภูมิภาค ส่งผลให้ตลาดยังคงมีปริมาณน้ำมันอย่างเพียงพอ ไม่คาดว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนอุปทาน

ด้านความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยก็เริ่ม (9ม.ค.) เปิดตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นทันที เป็นการขานรับกับคำแถลงเชิงบวกของประธานาธิบดีทรัมป์ว่าไม่มีทหารอเมริกันเสียชีวิตจากการโจมตีของอิหร่าน และจะตอบโต้อิหร่านด้วยการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจโดยไม่ได้ระบุถึงการใช้ปฏิบัติการทางทหาร ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนคลายความกังวลสถานการณ์ที่จะรุนแรงเพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง