ศูนย์วิจัยทองคำ ได้มีการดำเนินการสำรวจแนวโน้มของราคาทองคำในในประเทศไทยรายสัปดาห์ห้วงระหว่างวันที่ 30 ธันวาคม 2562 ถึง 3 มกราคม 2563 (GRC Gold Survey) โดยมีนักลงทุนทองคำร่วมตอบแบบสำรวจ จำนวน 335 ราย ในจำนวนนี้มี 201 ราย หรือเทียบเป็น 60% คาดการณ์ว่าราคาทองคำในประเทศของสัปดาห์หน้าจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 62 ราย หรือเทียบเป็น 19% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และ จำนวน 72 ราย หรือเทียบเป็น 21% คาดการณ์ว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา
สำหรับ 12 ผู้เชี่ยวชาญในตลาดทองคำที่ได้มีส่วนร่วมตอบแบบสำรวจ ในจำนวนนี้มี 6 ราย หรือเทียบเป็น 50% คาดว่าราคาทองคำในสัปดาห์หน้าจะปรับเพิ่มขึ้น ส่วนจำนวน 2 ราย หรือเทียบเป็น 17% คาดว่าราคาทองคำจะลดลง และ จำนวน 4 ราย หรือเทียบเป็น 33% คาดว่าราคาทองคำจะใกล้เคียงกับสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาทองคำแท่งในประเทศ 96.5% ตามประกาศสมาคมค้าทองคำ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเคลื่อนไหวอยู่ระหว่าง 21,150 – 21,600 บาท ต่อบาททองคำ โดยราคาทองคำปิดอยู่ที่ระดับ 21,550 บาท ต่อบาททองคำ ปรับเพิ่มขึ้น 400 เมื่อเปรียบเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ด้านปัจจัยที่ต้องติดตาม ประกอบด้วย
1. บรรยากาศการซื้อขายในตลาดทองคำยังคงเบาบาง เนื่องในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563
2. พิธีลงนามข้อตกลงทางการค้าเฟสแรก ระหว่างจีน กับสหรัฐฯ จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนหลังได้รับการยืนยันจากทั้งสองฝ่าย
3. รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อในภาคการผลิต (PMI) ประจำเดือน ธันวาคม 2562 ของสหรัฐฯ ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้เป็นตัวบ่งชี้สภาวะทางเศรษฐกิจของภาคการผลิต
4. รายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC Meeting Minutes) ของรอบประชุมเดือน ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา เฟดได้มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.50% – 1.75%
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)โกลเบล็ก คาดการณ์ราคาทองคำปี 2563 เคลื่อนไหวในกรอบ 1,390-1,600 ดอลลาร์ หรือ 19,700-22,950 บาท/บาททองคำ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเศรษฐกิจโลกในปี 2563 จะเริ่มชะลอตัวทั้งสหรัฐ ยูโรโซน อังกฤษ ญี่ปุ่น และจีน ส่งผลให้ความต้องการถือสินทรัพย์เสี่ยงลดลง ปัจจัยที่น่าจับตาคือการเลือกตั้งสหรัฐช่วงเดือนพ.ย. 2563 หากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปคาดว่าจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำเนื่องจากนโยบาย “อเมริกามาก่อน”
ออสสิริส รายงานราคาทองวันที่ 4 ม.ค.2563 ปรับตัวขึ้น 8 ดอลล่าร์ โดยปิดที่ 1,528 usd/oz และพุ่งขึ้นต่อในเช้าวันนี้ขานรับธนาคารกลางจีนที่ประกาศผ่อนคลายนโยบายการเงิน ด้วยการปรับลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)